• ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุ สถานการณ์เงินบาทเริ่มพลิกผันกลับมาแข็งค่าขึ้นตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2567 จนทะลุแนว 34.00 ไปแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 13 เดือนที่ 33.88 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในเดือนสิงหาคม 2567 หลังประธานเฟดส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับการเตรียมปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย *** ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ที่อ่อนค่าและสถานการณ์ความไม่แน่นอนในตะวันออกกลางดันให้ราคาทองคำในตลาดโลกพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ ซึ่งเพิ่มแรงหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอีกทางหนึ่ง *** เตือนผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ส่งออก-ผู้นำเข้า ที่มีรายรับ-รายจ่ายในรูปสกุลเงินตราต่างประเทศ จึงต้องให้ความสำคัญกับการใช้เครื่องมือบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
Home ตลาดหลักทรัพย์ฯ จับมือ BOI ส่งเสริม บจ. ร่วมดูแลสังคม
ตลาดหลักทรัพย์ฯ จับมือ BOI ส่งเสริม บจ. ร่วมดูแลสังคม

ตลาดหลักทรัพย์ฯ จับมือ BOI ส่งเสริม บจ. ร่วมดูแลสังคม

ตลาดหลักทรัพย์ฯ จับมือ BOI ส่งเสริม บจ. ร่วมดูแลสังคม ผ่านการสนับสนุนมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) สนับสนุนบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ร่วมดูแลสังคมภายใต้ “โครงการสนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียนเข้าร่วมทำประโยชน์เพื่อชุมชนและสังคม” โดยให้การสนับสนุนมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเพื่อยกระดับการบริการสุขภาพประชาชน พร้อมได้รับการส่งเสริมตามมาตรการของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567

ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ในฐานะหนึ่งในองค์กรภาคตลาดทุนที่มุ่งขับเคลื่อนเป้าหมายความยั่งยืนของประเทศ พร้อมพัฒนาตลาดทุนให้เป็นประโยชน์ต่อทุกภาคส่วน ได้ดำเนิน “โครงการสนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียนเข้าร่วมทำประโยชน์เพื่อชุมชนและสังคม” ร่วมกับองค์กรพันธมิตรภาคตลาดทุน ภาครัฐ และภาคสังคม โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ มีบทบาทเชื่อมโยงภาคธุรกิจคือ บจ. ทั้งใน SET และ mai เข้าร่วมโครงการและให้การสนับสนุนโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช เพื่อใช้ยกระดับการดูแลประชาชนในท้องถิ่นห่างไกล ให้ได้มีโอกาสเข้าถึงการรักษาพยาบาลอย่างทั่วถึง โครงการดังกล่าวมีขึ้นเพื่อแสดงความจงรักภักดีและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567

 


นายสุทธิเกตติ์ ทัดพิทักษ์กุล รองเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เปิดเผยว่า มาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาชุมชนและสังคม มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนภาคเอกชนที่มีศักยภาพเพิ่มบทบาทในการช่วยพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนระดับฐานรากในพื้นที่ต่างๆ ให้เกิดความเข้มแข็งและสามารถพึ่งพาตนเองได้ โดยภาคเอกชนที่สนใจสามารถร่วมมือกับองค์กรท้องถิ่นตามที่สำนักงานกำหนดเพื่อดำเนินการพัฒนาชุมชนและสังคมในด้านต่างๆ ได้แก่ การยกระดับภาคการเกษตร การแก้ไขปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วมซ้ำซาก การยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชน การท่องเที่ยวชุมชนการยกระดับภาคการศึกษา สาธารณสุข การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในชุมชนหรือการลดฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่ป่าและพื้นที่การเกษตร โดยโครงการที่ได้รับอนุมัติให้การส่งเสริมจาก BOI จะได้รับสิทธิและประโยชน์การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลจากรายได้ของกิจการที่ดำเนินการอยู่ เป็นเวลา 3 ปี ในวงเงินร้อยละ 120 ของเงินลงทุนที่จ่ายจริงในการสนับสนุนองค์กรท้องถิ่น และสำหรับโครงการที่เคยได้รับการส่งเสริมอยู่เดิมและสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลยังไม่สิ้นสุดลงจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมในวงเงินร้อยละ 120 ของเงินลงทุนที่จ่ายจริงในการสนับสนุนองค์กรท้องถิ่น

นายแพทย์วันชัย สัตยาวุฒิพงศ์ กรรมการและเลขาธิการ มูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช เปิดเผยว่า โครงการสนับสนุนเครื่องมือแพทย์นี้จะช่วยการเพิ่มศักยภาพของโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช 21 แห่งที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ชายแดนห่างไกลจากเขตเมือง โดยอุปกรณ์การแพทย์ที่ทันสมัยเหล่านี้จะช่วยรักษาประชาชนที่เจ็บป่วย ให้หายจากโรคและรอดชีวิตมากขึ้น ถือว่าเราได้ร่วมกันทำความดี ถวายพระเจ้าอยู่หัวในวาระมหามงคลเฉลิมพระชนมายุ 72 พรรษา

สำหรับ บจ. ที่เข้าร่วม “โครงการสนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียนเข้าร่วมทำประโยชน์เพื่อชุมชนและสังคม” และรับการส่งเสริมตามมาตรการของสำนักงาน BOI ต้องอยู่เงื่อนไขที่ BOI กำหนดคือ เงินลงทุนขั้นต่ำของโครงการสนับสนุนโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชหรือองค์กรท้องถิ่นตามที่สำนักงาน BOI กำหนด จะต้องไม่น้อยกว่า 5 ล้านบาท (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) โดยสามารถแบ่งการสนับสนุนองค์กรท้องถิ่นหลายแห่งในการยื่นขอรับการส่งเสริมภายใต้โครงการเดียวกันได้ โดยจะต้องสนับสนุนองค์กรท้องถิ่นไม่น้อยกว่า 5 แสนบาทต่อราย และต้องดำเนินการตามแผนที่ได้รับอนุมัติให้แล้วเสร็จภายใน 3 ปีนับจากวันออกบัตรส่งเสริม หรือวันที่อนุมัติให้แก้ไขโครงการ แล้วแต่กรณี โดยต้องไม่เกินระยะเวลาที่ได้รับสิทธิและประโยชน์การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล โดย บจ. ที่สนใจเข้าร่วมโครงการฯ สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://bit.ly/3Lu6hkE