- ในปี 2568 คาดมูลค่าตลาดชิ้นส่วนรถยนต์ (ไม่รวมยางรถยนต์) ที่ผลิตในไทยโดยรวม หดตัว 1.0% มีมูลค่า 8.3 แสนล้านบาท โดยเป็นชิ้นส่วนรถยนต์ประเภท OEM (Original Equipment Manufacturing) ที่เข้าสู่สายการผลิตรถยนต์ ซึ่งคาดว่าจะหดตัว 1.8% จากความต้องการในประเทศที่มีทิศทางหดตัว ตามการผลิตรถยนต์ในไทยที่อาจเหลือไม่ถึง 1.45 ล้านคัน แม้ความต้องการในตลาดส่งออกจะเพิ่มขึ้น
- ในขณะที่ชิ้นส่วน REM (Replacement Equipment Manufacturing) หรือชิ้นส่วนอะไหล่ที่ใช้ในการซ่อมบำรุงรถยนต์ของไทย โดยรวมในปี 2568 นี้ อาจขยายตัว 3.6% จากความต้องการในประเทศที่มีทิศทางขยายตัว ตามปริมาณรถยนต์จดทะเบียนสะสมที่เพิ่มขึ้น และความต้องการในตลาดส่งออกที่เพิ่มขึ้น
แนวโน้มอุปสงค์ชิ้นส่วนรถยนต์ไทยประเภท OEM
ยอดขายชิ้นส่วนรถยนต์ OEM ไทยในประเทศ
ในปี 2568 ยอดขายชิ้นส่วน OEM ไทยในประเทศโดยรวมมีแนวโน้มหดตัวต่ำกว่า 2.9% เหลือยอดขายไม่ถึง 4.5 แสนล้านบาท (รูปที่ 2) สอดคล้องกับปริมาณการผลิตรถยนต์ในไทยที่หดตัวต่อเนื่อง
การผลิตรถยนต์ในไทยปี 2568 คาดหดตัวต่อที่ระดับต่ำกว่า 1.3% เหลือไม่ถึง 1.45 ล้านคัน (รูปที่ 3) โดยเป็นผลของ (1) ยอดขายรถยนต์ในประเทศที่ยังคงลดลงต่อเนื่อง จากปัญหาหนี้เสียที่ยังสูงและความอ่อนแอของกำลังซื้อผู้บริโภค และ (2) การส่งออกรถยนต์ที่หดตัว จากปัญหาการกีดกันการค้าในปัจจุบัน กับการแย่งตลาดของรถยนต์ส่งออกจากจีน
ทั้งนี้ แม้จะมีการเร่งผลิต BEV ชดเชยในโครงการ EV3.0 & 3.5 เข้ามา แต่อาจมีจำนวนไม่ถึง 3 หมื่นคัน และชิ้นส่วน OEM ไทยที่เข้าสายการผลิต BEV ได้ก็ยังน้อยมากไม่ถึง 40% ทำให้ความต้องการชิ้นส่วน OEM โดยรวมที่ผลิตในประเทศลดลง อย่างไรก็ดี ในอนาคตเมื่อการผลิต BEV เพิ่มขึ้นตามเทรนด์โลก การผลิตชิ้นส่วนกลุ่มไม่ใช้เทคโนโลยีสูง เช่น ช่วงล่างและตัวถัง รวมถึงชิ้นส่วนภายในบางกลุ่มที่เน้นใช้แรงงาน และยางล้อรถยนต์น่าจะเป็นกลุ่มที่มีโอกาสได้ประโยชน์ก่อนกลุ่มอื่น
ยอดส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์ OEM ไทย
ยอดส่งออกชิ้นส่วน OEM ไทยในปี 2568 คาดขยายตัวเล็กน้อยที่ 0.5% คิดเป็นมูลค่า 2.28 แสนล้านบาท (รูปที่ 4)
แม้การผลิตรถยนต์ในตลาดส่งออกหลักของชิ้นส่วน OEM ไทยโดยรวม คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 0.2% คิดเป็น 11.46 ล้านคัน (รูปที่ 5) แต่บางตลาดในนั้นอาจผลิตรถยนต์ได้น้อยลง เช่น อินโดนีเซีย ที่กำลังเจอปัญหาการลดลงของชนชั้นกลางซึ่งกระทบยอดขายรถยนต์ ส่วนญี่ปุ่นมีโอกาสส่งออกรถยนต์ลดลง หลังสหรัฐฯซึ่งเป็นตลาดหลักเตรียมขึ้นภาษีนำเข้า จนอาจกระทบความต้องการชิ้นส่วน OEM ไทยให้โตต่ำ
แนวโน้มอุปสงค์ชิ้นส่วนรถยนต์ไทยประเภท REM
ยอดขายชิ้นส่วนรถยนต์ REM ไทยในประเทศ
ในปี 2568 คาดว่ายอดขายชิ้นส่วน REM ไทยในประเทศขยายตัวเพิ่มขึ้น 2.3% สู่ 1.21 แสนล้านบาท (รูปที่ 6) จากปัจจัยหลัก คือ ปริมาณรถยนต์สะสมบนถนนที่เพิ่มขึ้นในประเทศ
รถยนต์จดทะเบียนสะสมในไทยมีจำนวนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนคาดว่าในปี 2568 จะขึ้นไปสูงถึง 21.31 ล้านคัน โดยมีสัดส่วนของรถยนต์ที่มีอายุเกิน 7 ปี เพิ่มขึ้นเป็น 70% (รูปที่ 7) จากผลของภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวทำให้ผู้บริโภคยืดอายุการใช้งานรถยนต์นานขึ้น โดยชิ้นส่วน REM ไทยคาดว่าน่าจะมีส่วนแบ่งในตลาดสูงถึงมากกว่า 60% ส่วนที่เหลือคาดเป็นชิ้นส่วน REM นำเข้า โดยมีจีนเป็นประเทศส่งออกหลักมายังไทย
ยอดส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์ REM ไทย
ยอดส่งออกชิ้นส่วน REM ไทย แม้มีโอกาสขยายตัว 4.7% สู่ 2.79 หมื่นล้านบาท (รูปที่ 8) แต่การแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากชิ้นส่วน REM จีน ทำให้การส่งออกในอนาคตมีความเสี่ยง
โดยปัจจุบันพบว่าการส่งออกชิ้นส่วน REM จีน เริ่มกินส่วนแบ่งในหลายตลาดมากขึ้นเรื่อย ๆ ในอัตราเร่ง เช่น อาเซียน ที่จีนขยับส่วนแบ่งจาก 11% ขึ้นมาอยู่ที่ 16% ในปัจจุบัน (รูปที่ 9) โดยการเติบโตลักษณะเช่นนี้ ทำให้การส่งออกชิ้นส่วน REM ไทยเสี่ยงต้องเผชิญการแข่งขันสูงขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะเมื่อจีนโดนกีดกันการค้า และต้องหาตลาดส่งออกทดแทน ซึ่งอาจเป็นตลาดเดียวกันกับไทย
ความเสี่ยงของอุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์ไทย
- ปัญหาการกีดกันการค้าที่รุนแรงขึ้น หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นดำรงตำแหน่ง ซึ่งอาจมีผลต่อทิศทางการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานที่กระทบต่อเนื่องกันจนมาถึงไทย โดยเฉพาะ แนวคิดในการให้สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์จากทั่วโลก 25%
- การเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยีรถยนต์ BEV จะกระทบต่อความต้องการใช้ชิ้นส่วนรถยนต์ไทย โดยเฉพาะรถยนต์ใช้น้ำมันที่ถูกแทนที่ด้วยรถยนต์ BEV โดยคาดว่าในปี 2568 นี้ หากค่ายรถจะผลิตชดเชยให้ครบตามข้อกำหนดในโครงการ EV3.0 อาจต้องผลิตรถยนต์ BEV มากกว่า 1 แสนคัน และแม้จะมีชิ้นส่วนรถยนต์ไทยบางส่วนที่เข้าสายการผลิตรถยนต์ BEV ได้ แต่ก็คาดว่าจะน้อยมาก เนื่องจากยังมีการนำเข้าชิ้นส่วนจากจีนมาประกอบแทน
- การแข่งขันกับรถยนต์และชิ้นส่วนจากจีนที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นมากทั้งในประเทศและตลาดส่งออก หลังจีนต้องหาตลาดส่งออกมากขึ้น ทั้งมายังไทยหรือตลาดคู่ค้าของไทย จากปัญหาสงครามการค้าทีทวีความรุนแรงขึ้นในปัจจุบัน