Key Highlights
การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในไตรมาส 3 ปี 2567 ขยายตัวต่อเนื่อง
ภาพรวมการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในไตรมาสที่ 3 ปี 2567 ขยายตัวต่อเนื่องที่ .8%YoY เทียบกับไตรมาสก่อนที่ขยายตัว 5.8%YoY การส่งออกไปตลาดสำคัญอย่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 9% และ 7% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัวต่อเนื่องที่ 26.0%YoY และ 23.4%YoY ตามลำดับ โดยได้รับแรงหนุนจากความกังวลด้านความมั่นคงทางอาหาร ทำให้ความต้องการนำเข้าสินค้าในกลุ่มข้าว อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูปเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี การส่งออกไปยังตลาดจีนซึ่งเป็นตลาดใหญ่สุด (สัดส่วน 27% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร) หดตัวต่อเนื่องที่ -9.6%YoY จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง ส่งผลกระทบต่อการส่งออกกุ้ง ซึ่งเป็นสินค้าที่มีราคาสูงเมื่อเทียบกับเนื้อสัตว์ทั่วไป ประกอบกับสถานการณ์น้ำท่วมในไทยและการแข่งขันในตลาดจีนที่เพิ่มขึ้น ทำให้การส่งออกผลไม้ไทยไปตลาดหลักอย่างจีนลดลง
หมวดสินค้าเกษตรขยายตัวต่อเนื่องที่ 7.0%YoY (สัดส่วนราว 54% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร) โดยกลุ่มสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ข้าว (25.2%YoY) ไก่ (5.8%YoY) และยางพารา (55.9%YoY) ซึ่งเป็นผลจากราคาส่งออกที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งคำสั่งซื้อยางตามมาตรฐาน EUDR ที่เติบโต ขณะที่กลุ่มสินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้ง (-15.7%YoY) เนื่องจากสถานการณ์น้ำท่วมในไทยและลาว ทำให้การส่งออกผลไม้ผ่านแดนไปจีนลดลง และมันสำปะหลัง (-16.3% YoY) เนื่องจากผลผลิตมีจำกัดจากปัญหาโรคใบด่างและปัญหาขาดแคลนท่อนพันธุ์
ด้านหมวดสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัวต่อเนื่องที่ 13.2%YoY (สัดส่วนราว 46%) โดยกลุ่มสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป (18.8%YoY) สิ่งปรุงรสอาหาร (4.4%YoY) และอาหารสัตว์เลี้ยง (24.3%YoY) จากความต้องการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในตลาดสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัวได้แก่ น้ำตาลทราย (-23.6%YoY) เนื่องจากราคาส่งออกที่ปรับลดลง และปริมาณส่งออกได้รับผลกระทบจากภัยแล้งที่ทำให้ผลผลิตอ้อยลดลง
สถานการณ์การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในกลุ่มสินค้าสำคัญ
การส่งออกข้าวไตรมาส 3 ขยายตัวต่อเนื่อง
มูลค่าการส่งออกข้าวไตรมาสที่ 3 ปี 2567 ขยายตัวต่อเนื่องที่ 25.2%YoY จากปริมาณการส่งออกข้าวโดยรวมที่ขยายตัว 15.6%YoY และราคาส่งออกข้าวเฉลี่ยโดยรวมที่มีการปรับเพิ่มขึ้น 8.2%YoY โดยเฉพาะราคาส่งออกข้าวขาว 5% ที่ปรับเพิ่มขึ้นถึง 12.8%YoY จากนโยบายจำกัดการส่งออกข้าวของอินเดียที่ยังมีผลจนถึงเดือน ต.ค. 2567 รวมถึงยังได้รับอานิสงส์จากความกังวลด้านความมั่นคงทางอาหาร ประกอบกับปริมาณการส่งออกที่ขยายตัว 34.0%YoY ทำให้มูลค่าการส่งออกข้าวขาวยังคงขยายตัวดีที่ 50.2%YoY เช่นเดียวกับมูลค่าการส่งออกข้าวหอมมะลิที่ขยายตัว 16.1%YoY จากปริมาณการส่งออกที่ขยายตัว 14.0%YoY ประกอบกับราคาส่งออกที่ปรับขึ้น 1.8%YoY จากฐานที่ต่ำในปี 2566 เป็นหลัก และการทำตลาดข้าวในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น แต่ปรับเพิ่มขึ้นน้อยกว่าข้าวชนิดอื่น เนื่องจากยังคงมีการแข่งขันกับข้าวชนิดอื่นในตลาดส่งออก เช่น ข้าวพันธุ์พื้นนุ่มของเวียดนามที่มีราคาถูกและรสชาติดี
มูลค่าการส่งออกยางพาราไตรมาส 3 ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง มูลค่าการส่งออกยางแผ่นและยางแท่งไตรมาสที่ 3 ปี 2567 ขยายตัว 63.3%YoY จากปริมาณการส่งออกที่ขยายตัว 17.1%YoY โดยเฉพาะตลาดสหภาพยุโรปที่ขยายตัวถึง 26.0%YoY ตามคำสั่งซื้อยางตามมาตรฐาน EUDR ที่เติบโต ขณะที่จีน ซึ่งเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของการส่งออกยางแผ่นยางแท่งทั้งหมดของไทยหดตัว -7.8%YoY จากอุปสงค์ยางล้อในจีนที่ชะลอลง ขณะที่ราคาส่งออกปรับตัวเพิ่มขึ้น 39.4%YoY เนื่องจากความกังวลด้านอุปทานจากปัญหาฝนตกหนักและน้ำท่วมกระทบต่อการเก็บเกี่ยวยาง มูลค่าการส่งออกน้ำยางข้นเพิ่มขึ้น 27.1%YoY ตามราคาส่งออกปรับตัวเพิ่มขึ้น 40.7%YoY ขณะที่ปริมาณการส่งออกน้ำยางข้นลดลง -9.7%YoY ตามการส่งออกไปจีนซึ่งคิดเป็น 35.0% ของตลาดส่งออกน้ำยางข้นทั้งหมดหดตัวถึง -30.5%YoY เนื่องจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ทำให้ความต้องการนำเข้าน้ำยางข้นจากไทยของจีนเพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตถุงมือยางเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯ ลดลง
มูลค่าการส่งออกมันสำปะหลังไตรมาส 3 หดตัวต่อเนื่อง
มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังทั้งหมดในไตรมาสที่ 3 ปี 2567 อยู่ที่ 736 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัว -16%YoY โดยมูลค่าการส่งออกมันเส้นและมันอัดเม็ดอยู่ที่ 85 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 3,048 ล้านบาท) หดตัว -54.3%YoY และในแง่ปริมาณหดตัว -48.6%YoY เพราะเผชิญปัญหาวัตถุดิบไม่เพียงพอต่อการแปรรูปเพื่อส่งออก เนื่องจากปัญหาภัยแล้ง และบางพื้นที่ยังประสบปัญหาโรคใบด่าง ทำให้ผลผลิตได้รับความเสียหาย ส่วนมูลค่าการส่งออกแป้งมันสำปะหลังอยู่ที่ 640 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 22,740 ล้านบาท) หดตัว -3.6%YoY และในแง่ปริมาณขยายตัว 3%YoY เนื่องจากผู้ส่งออกบางรายยังมีสต็อกเดิม แต่คาดว่าช่วงที่เหลือของปีนี้สต็อกเดิมที่ทยอยหมดลงอาจกระทบต่อการส่งออกในช่วงไตรมาสที่ 4
สำหรับสถานการณ์ราคาส่งออกมันสำปะหลังในไตรมาสที่ 3 ปรับลดลง โดยมันเส้นและมันอัดเม็ดลดลง -11.1%YoY เนื่องจากราคาแอลกอฮอล์ที่ใช้มันเส้นเป็นวัตถุดิบในจีนปรับตัวลดลงเช่นเดียวกับราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลังที่ลดลง -6.5%YoY เนื่องจากต้องแข่งขันกับราคาแป้งข้าวโพดจีนที่มีราคาถูกกว่ามาก
การส่งออกผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้งไตรมาส 3 หดตัวต่อเนื่อง
มูลค่าการส่งออกผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้งไตรมาสที่ 3 ปี 2567 หดตัวต่อเนื่องที่ -15.7%YoY จากการส่งออกไปจีนหดตัวถึง -18.5%YoY โดยมูลค่าการส่งออกทุเรียนหดตัว -18.8%YoY จากปริมาณการส่งออกที่หดตัว -16.7%YoY โดยปัจจัยกดดันมาจากสถานการณ์น้ำท่วมในไทยช่วงเดือน ส.ค.-ก.ย. 2567 ทำให้พื้นที่ปลูกไม้ผลได้รับความเสียหายกว่า 35,000 ไร่ คิดเป็นผลผลิตราว 28,000 ตัน ประกอบกับการส่งออกผลไม้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ทำให้เกิดปัญหาการขนส่งล่าช้าและทำให้ผลไม้ได้รับความเสียหาย สะท้อนจากการส่งออกชายแดนไปลาว และการส่งออกผ่านแดนไปจีนในเดือน ก.ย. 2567 หดตัว -11.6%YoY และ -9.4%YoY ตามลำดับ โดยเฉพาะมังคุดและทุเรียนหดตัวถึง -34.9%YoY และ -3.6%YoY ตามลำดับ อีกทั้งการส่งออกไปจีนเผชิญปัจจัยท้าทายจากคู่แข่งที่เพิ่มขึ้น ภายหลังมาเลเซียสามารถส่งออกทุเรียนสดเข้าจีนตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2567 ขณะที่เวียดนามและฟิลิปปินส์ขยายตลาดผลไม้ในจีนเพิ่มขึ้น
การส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูปไตรมาส 3 ขยายตัวต่อเนื่อง จากความต้องการนำเข้าของตลาดส่งออกหลักที่เพิ่มขึ้น
ภาพรวมมูลค่าการส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูปไตรมาสที่ 3 ปี 2567 ขยายตัว 5.8%YoY โดยเฉพาะไก่แปรรูปขยายตัว 6.9%YoY จากตลาดส่งออกหลักอย่างสหภาพยุโรปที่ขยายตัว 19.2%YoY เพราะได้รับอานิสงส์จากความกังวลวิกฤตทะเลแดง ทำให้เร่งสั่งซื้อเนื่องจากเป็นสินค้าจำเป็นในการบริโภค เช่นเดียวกับการส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งที่กลับมาขยายตัว 3.4%YoY จากการส่งออกไปญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 15.6%YoY เพื่อทดแทนไก่เนื้อในญี่ปุ่นจากการระบาดของโรคไข้หวัดนก อย่างไรก็ดี การส่งออกไปจีนยังหดตัว -8.2%YoY ส่วนหนึ่งจากฐานที่สูงในปีก่อนที่จีนเร่งนำเข้าเพื่อทดแทนไก่เนื้อจากการระบาดของโรคไข้หวัดนกในจีน
ทิศทางการส่งออกสินค้าเกษตรสำคัญในปี 2568-2569
ข้าว
ยางพารา
อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามความรุนแรงของปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่อาจทำให้การส่งออกยางแผ่นยางแท่งของไทยขยายตัวต่ำกว่าที่คาด
มันสำปะหลัง
ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้ง
อีกทั้งคาดว่าการส่งออกจะได้รับประโยชน์จากการขนส่งผ่านรถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว และการขนส่งผ่านด่านท่าเรือกวนเหล่ย ภายหลังทางการจีนเปิดด่านท่าเรือกวนเหล่ยเป็นด่านนำเข้าผลไม้สดจากต่างประเทศแห่งใหม่ในมณฑลยูนนานตั้งแต่วันที่ 29 ก.ค. 2567 เป็นต้นไป ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการขนส่ง และเพิ่มทางเลือกการขนส่งผลไม้ทางภาคเหนือของไทย
อย่างไรก็ดี การส่งออกไปจีนเผชิญปัจจัยท้าทายจากคู่แข่งที่เพิ่มขึ้น ภายหลังมาเลเซียสามารถส่งออกทุเรียนสดเข้าจีนได้ตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2567 ขณะที่เวียดนามและฟิลิปปินส์เร่งขยายการส่งออกทุเรียน ซึ่งอาจทำให้การแข่งขันด้านราคาในตลาดจีนมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นกระทบการส่งออกผลไม้ของไทย ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้า เพื่อให้ได้ตามมาตรฐานที่ประเทศคู่ค้ากำหนด เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันระยะยาว
ไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูป
รวมทั้งการระบาดของไข้หวัดนกในญี่ปุ่นและสหภาพยุโรปจะช่วยหนุนการนำเข้าไก่เนื้อของไทยเพิ่มขึ้น สำหรับการส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งจะยังได้รับผลดีจากการระบาดของโรคไข้หวัดนกในจีน อีกทั้งยังได้รับผลดีจากการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ในจีนและเวียดนาม ทำให้มีการนำเข้าไก่เนื้อเพื่อทดแทนสุกรมากขึ้น รวมถึงการระบาดของไข้หวัดนกในออสเตรเลีย ส่งผลให้สหรัฐฯ ระงับนำเข้าสัตว์ปีกของออสเตรเลีย ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนการส่งออกไก่ของไทยเพื่อเข้าไปทดแทนในตลาดสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้าส่งออกของออสเตรเลียได้
สำหรับการส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งของไทยยังได้รับผลดีจากทางการจีนรับรองโรงงานผลิตและแปรรูปไก่แช่แข็งไทยเพิ่มอีก 3 โรง จากเดิมที่ได้รับการรับรองและส่งออกแล้ว 23 โรง รวมเป็น 26 โรงงาน นอกจากนี้ ยังมีโอกาสในการขยายการส่งออกไปยังซาอุฯ เนื่องจากซาอุฯ เป็นประเทศผู้นำเข้าไก่รายใหญ่อันดับ 6 ของโลก ประกอบกับภาครัฐของไทยมีการส่งเสริมการส่งออกสินค้าไก่ ซึ่งเป็นไก่ฮาลาลไปยังซาอุฯ เพิ่มขึ้น หลังจากการยกระดับความสัมพันธ์ทางการทูตทั้ง 2 ประเทศ
เงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าอาจกระทบต่อมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรไทย
ในช่วงที่เหลือของปี 2567 และในปี 2568 เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่ามากขึ้น อาจกดดันต่อมูลค่าการ
ส่งออกในรูปเงินบาท และอาจกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรของไทย โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก และมีการนำเข้าวัตถุดิบในสัดส่วนที่น้อย เช่น ยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางพารา อาหารทะเลแปรรูป ผลไม้ น้ำตาล ไก่ และข้าว เป็นต้น ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่มีสัดส่วนการส่งออกสูงถึงราว 50-100% ของรายได้รวมทั้งหมดของแต่ละอุตสาหกรรม อีกทั้งส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำ ทำให้ผู้นำเข้าสามารถหันไปสั่งซื้อสินค้าจากคู่แข่งมาทดแทนได้ จึงเป็นกลุ่มสินค้าที่จะได้รับผลกระทบค่อนข้างมากกว่ากลุ่มสินค้าส่งออกในภาคอุตสาหกรรม
Implication:
Krungthai COMPASS มองว่า แม้การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในปี 2568 จะขยายตัวได้ แต่มีปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ดังนี้
by:
สุคนธ์ทิพย์ ชัยสายัณห์
กฤชนนท์ จินดาวงศ์
ปราโมทย์ วัฒนานุสาร
อังคณา สิทธิการ
Krungthai COMPASS