• Krungthai COMPASS เผยอัตราเงินเฟ้อเดือน มี.ค. 68 อยู่ที่ 0.84% คาดเงินเฟ้อมีทิศทางชะลอลงระยะข้างหน้า ท่ามกลางแรงกดดันจากสงครามการค้า ประเมินว่า ทิศทางเงินเฟ้อของไทยระยะข้างหน้ายังมีโมเมนตัมที่อ่อนแรงลง ปัจจัยหลักจากอุปสงค์ภายในประเทศซึ่งมีสัญญาณแผ่ว และทิศทางราคาพลังงานที่ลดลง โดยอุปสงค์ในประเทศยังคงเปราะบาง สะท้อนจากดัชนีการลงทุนภาคเอกชน (PII) ในเดือน ก.พ. 68 ที่ปรับลดลงทั้งหมวดเครื่องจักร ยานพาหนะ และก่อสร้าง ส่งผลให้ดัชนีโดยรวมหดตัว 7.7%YoY
Home กรุงศรี คาดเงินบาทสัปดาห์นี้ซื้อขาย 33.25-33.90 จับตาพันธบัตรสหรัฐฯ
กรุงศรี คาดเงินบาทสัปดาห์นี้ซื้อขาย 33.25-33.90 จับตาพันธบัตรสหรัฐฯ

กรุงศรี คาดเงินบาทสัปดาห์นี้ซื้อขาย 33.25-33.90 จับตาพันธบัตรสหรัฐฯ

กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า เงินบาทสัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 33.25-33.90 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทปิดแข็งค่าที่ 33.60 บาท/ดอลลาร์ หลังซื้อขายผันผวนในช่วง 33.55-34.99 บาท/ดอลลาร์ โดยเงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบเกือบ 5 เดือนก่อนจะพลิกกลับมาแข็งค่าอย่างรวดเร็ว เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับทุกสกุลเงินหลัก โดยเงินยูโรแข็งค่าสุดในรอบ 3 ปี หลังจากสหรัฐฯและจีนยกระดับความรุนแรงในสงครามการค้าระหว่างกัน แม้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะระงับการขึ้นภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) กับอีกหลายประเทศเป็นเวลา 90 วัน โดยตลาดหุ้นโลกและพันธบัตรสหรัฐฯเหวี่ยงตัวผันผวนสูง หลังรัฐบาลสหรัฐฯปรับทิศทางมาตรการอย่างไม่คาดคิด ทางด้านค่าเงินหยวนจีนในประเทศร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วิกฤตการเงินโลกปี 2550/51 ขณะที่ทรัมป์เรียกเก็บภาษีเพิ่มจากจีนเป็น 145% หลังจากจีนตอบโต้ด้วยอัตราภาษี 125% ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยสุทธิ 2,248 ล้านบาท แต่ซื้อพันธบัตร 5,521 ล้านบาท

สำหรับภาพรวมในสัปดาห์นี้ ระดับความเชื่อมั่นของนักลงทุนในการถือครองพันธบัตรสหรัฐฯจะยังคงเป็นประเด็นชี้นำสำคัญ โดยเฉพาะหากมีการตั้งคําถามมากขึ้นเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของสินทรัพย์ที่ได้รับสถานะปลอดภัยที่สุดในภาวะตลาดปั่นป่วน เห็นได้จากการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) ระยะยาวพุ่งขึ้นขณะที่หุ้นสหรัฐฯร่วงลงท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้า ประกอบกับการดิ่งลงของยิลด์ที่แท้จริงของพันธบัตรสหรัฐฯรุ่นระยะสั้นถ่วงดอลลาร์ลงอย่างมีนัยสำคัญอีกทางหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น ประกาศจากทรัมป์เพื่อผ่อนผัน Reciprocal Tariff สำหรับผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีบ่งชี้ว่าวงในทำเนียบขาวขาดแนวคิดเชิงยุทธ์ศาสตร์ต่อความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในเวลาเดียวกันแผนลดภาษีภายในเพิ่มแรงกดดันต่อภาคการคลังสหรัฐฯ นอกจากนี้ ผู้ร่วมตลาดจะติดตามการเข้าสู่โต๊ะเจรจาของประเทศต่างๆระหว่างช่วงระงับภาษีนำเข้า รวมถึงความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอย ทางด้านธนาคารกลางยุโรป(อีซีบี)มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยลงสู่ระดับ 2.25% ในการประชุมวันที่ 17 เมษายน

สำหรับปัจจัยในประเทศ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยส่งจดหมายชี้แจงต่อกระทรวงการคลังกรณีอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมาหลุดขอบล่างของกรอบเป้าหมาย เรามองว่าผลจากสงครามการค้าและความเสี่ยงด้านขาลงของเศรษฐกิจจะชัดเจนมากขึ้นในระยะถัดไป เปิดทางให้ธนาคารแห่งประเทศไทยผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมในปีนี้